เมนู

ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุด
ในโลก ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบ
ซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง
ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบปัญญาสูตรที่ 4

อรรถกถาปัญญาสูตร


ในปัญญาสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สุปริหีนา ได้แก่ เสื่อมสุด. บทว่า เย อริยาย ปญฺญาย
ปริหีนา
ความว่า สัตว์เหล่าใด เสื่อมจากวิปัสสนาปัญญา และมรรคปัญญา
อันเป็นอริยะ คือ บริสุทธิ์ เพราะตั้งอยู่ไกลจากกิเลสทั้งหลาย ด้วยการรู้ความเกิด
และความเสื่อมของขันธ์ 5 และด้วยการแทงตลอดอริยสัจ 4 สัตว์เหล่านั้นเสื่อม
คือ เสื่อมมากเหลือเกินจากสมบัติอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ. ถามว่า ก็สัตว์
เหล่านั้นเป็นจำพวกอะไร. ตอบว่า เป็นความจริงดังนั้น สัตว์เหล่าใดประกอบ
ด้วยเครื่องกั้น คือ กรรม สัตว์เหล่านั้นเสื่อม คือ พร่อง คือ เสื่อมมากโดย
ส่วนเดียว โดยความเป็นผู้แน่นอนต่อความเห็นผิด. ดังที่ท่านกล่าวว่า ทุคฺคติ
ปาฏิกงฺขา
ทุคติเป็นอันหวังได้ ดังนี้. แม้พร้อมเพรียงด้วยเครื่องกั้น คือ

วิบากก็เสื่อม. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบในธรรมฝ่ายขาว ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ
เว้นจากเครื่องกั้น 3 อย่าง และเป็นผู้ประกอบด้วยกัมมัสสกตาญาณ ชื่อว่า
ไม่เสื่อม. คำที่เหลือ พึงทราบโดยทำนองอันมีนัยดังที่กล่าวแล้ว.
ในคาถาทั้งหลายพึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ บทว่า ปญฺญาย เป็น
ปัญจมีวิภัตติ. ความว่า เพราะความเสื่อมไปจากวิปัสสนาญาณและมรรคญาณ.
หรือบทว่า ปญฺญาย นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ. ความว่า เพราะเสื่อมไปแห่งญาณ
ดังที่ได้กล่าวแล้ว. อนึ่ง การไม่ให้เกิดขึ้นแห่งญาณที่ควรให้เกิดนั่นแล เป็น
ความเสื่อมในบทนี้. บทว่า นิวิฏฺฐํ นามรูปสฺมึ ได้แก่ ผู้ตั้งมั่นแล้ว คือ
หยั่งลงแล้วในนามรูป คือ ในอุปาทานขันธ์ 5 ด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิโดย
นัยมีอาทิว่า เอตํ มม นั่นของเราดังนี้ เพราะความเสื่อมไปจากปัญญานั้น.
บทว่า อิทํ สจฺจนฺติ มญฺญติ ได้แก่ ย่อมสำคัญว่านามรูปนี้เท่านั้นเป็น
ของจริง อย่างอื่นเป็นโมฆะดังนี้. พึงเปลี่ยนวิภัตติเป็น สเทวเก โลเก ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงธรรมฝ่ายเศร้าหมองในคาถาที่ 1
อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงประกาศอานุภาพแห่งปัญญาว่า กิเลสวัฏ ย่อม
เป็นไปด้วยความมั่นหมายและยึดมั่นในนามรูป เพื่อมิให้เกิดอันใด การเข้าไป
ตัดวัฏฏะเพื่อให้เกิดอันนั้น ดังนี้จึงตรัสคาถาว่า ปญฺญา หิ เสฏฺฐา โลกสฺมึ
ปัญญาแล ประเสริฐที่สุดในโลก ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โลกสฺมึ ได้แก่สังขารโลก. ธรรมเช่นกับ
ปัญญาในสังขารทั้งหลาย ในสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่มีดุจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
จริงอยู่ กุศลธรรมทั้งหลายมีปัญญาเป็นอย่างยิ่ง และธรรมอันไม่มีโทษทั้งปวง
เป็นอันสำเสร็จเพราะความสำเร็จแห่งปัญญา. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ว่า สมฺมาทิฏฺฐิสฺส สมฺมาสงฺกปฺโป โหติ ความดำริชอบย่อมมีแก่ผู้เห็น
ชอบดังนี้. ก็ปัญญาที่ประสงค์เอาในที่นี้ท่านยกย่องว่า ประเสริฐที่สุด. เพื่อ

ทรงแสดงถึงความเป็นไปนั้น จึงตรัสว่า ยายํ นิพฺเพธคามินี ปัญญาอันให้ถึง
ความชำแรกกิเลส ดังนี้เป็นต้น.
อธิบายความแห่งบทนั้นว่า ปัญญาใดอันให้ถึงความชำแรกกิเลสว่า
ปัญญานี้ถึงความชำแรก คือ ทำลายกิเลสมีกองโลภะเป็นต้นอันยังไม่เคยชำแรก
ยังไม่เคยทำลาย ย่อมไป ย่อมเป็นไป โยคาวจรย่อมรู้ ย่อมทำให้แจ้งนิพพาน
และอรหัตอันเป็นที่สิ้นไป เป็นที่สุดแห่งชาติ กล่าวคือ ความเกิดครั้งแรก
แห่งขันธ์ทั้งหลายในหมู่สัตว์ ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติและสัตตาวาส
นั้น ๆ และกรรมภพอันมีชาตินั้นเป็นนิมิต โดยชอบไม่วิปริต ด้วยปัญญาใด
ปัญญานี้เป็นมรรคปัญญาพร้อมด้วยวิปัสสนา ประเสริฐที่สุดในโลก ดังนี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยกย่องพระขีณาสพ ผู้ถึงพร้อม
แล้วด้วยบุญญานุภาพตามที่กล่าวแล้ว จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า เตสํ เทวา
มนุสฺสา จ
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระ
องค์นั้น ดังนี้.
อธิบายความแห่งบทนั้นว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมกระหยิ่มรัก
ใคร่ต่อพระขีณาสพเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าเป็นสัมพุทธะด้วยการตรัสรู้อริยสัจ 4
เพราะสำเร็จโสฬสกิจ มีปัญญาเป็นต้นในอริยสัจ 4 ชื่อว่าผู้มีสติ เพราะมีสติ
ไพบูลย์ ชื่อว่าผู้มีปัญญาร่าเริง ด้วยถึงความไพบูลย์แห่งปัญญา เพราะถอน
ความลุ่มหลงเสียได้โดยนัยดังกล่าวแล้ว หรือว่า ชื่อว่าผู้มีปัญญาร่าเริง ความ
โสมนัส ความยินดี ความบันเทิง ตั้งแต่เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศีลเป็นต้นใน
ส่วนเบื้องต้น จนถึงทำนิพพานให้แจ้ง ชื่อว่าผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด
เพราะเป็นผู้สิ้นภวสังโยชน์โดยประการทั้งปวง ย่อมปรารถนาเพื่อบรรลุความ
เป็นอย่างนั้นบ้างว่า บุญญานุภาพน่าอัศจรรย์ ถ้ากระไร แม้เราก็ควรเป็นผู้ข้าม
พ้นทุกข์ทั้งปวงเช่นนี้ได้บ้าง ดังนี้.
จบอรรถกถาปัญญาสูตรที่ 4

5. ธรรมสูตร


ว่าด้วยเรื่องสุกธรรมประจำโลก 2 ประการ


[220] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุกธรรม 2 ประการนี้ย่อมรักษาโลก 2
ประการเป็นไฉน คือ หิริ 1 โอตตัปปะ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสุก-
ธรรม 2 ประการนี้จะไม่พึงรักษาโลกไซร้ ในโลกนี้ก็ไม่พึงปรากฏว่า มารดา
น้า ป้า ภรรยาของอาจารย์ หรือว่าภรรยาของครู โลกจะถึงความปะปนกัน
ไป เหมือนอย่างแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัขจิ้งจอกฉะนั้น ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่สุกธรรม 2 ประการนี้ยังรักษาโลกอยู่ ฉะนั้นจึง
ยังปรากฏว่า มารดา น้า ป้า ภรรยาของอาจารย์ หรือว่าภรรยาของครู.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ถ้าสัตว์เหล่าใด ไม่มีหิริและโอต-
ตัปปะในกาลทุกเมื่อไซร้ สัตว์เหล่านั้นมี
สุกธรรมเป็นมูลปราศไปแล้ว เป็นผู้ถึง
ชาติและมรณะ ส่วนสัตว์เหล่าใด เข้าไป
ตั้งหิริและโอตตัปปะไว้โดยชอบในกาลทุก
เมื่อ สัตว์เหล่านั้นมีพรหมจรรย์งอกงาม
เป็นผู้สงบ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว.